by NayNoy.Com Posted on 2022-03-19
การสังเกตว่ารถสตาร์ทไม่ติดเพราะแบตเตอรี่เสื่อมมีวิธีง่ายๆ คือ อาการที่เกิดขึ้นจะมีสัญญาณบ่งออกให้ทราบล่วงหน้ามาเป็นระยะ โดยเฉพาะเสียงเครื่องยนต์เวลาหมุนจะมีอาการอืดๆ เหมือนไม่ค่อยอยากติดเวลาที่บิดกุญแจ ต่างจากการสตาร์ทไม่ติดเพราะเครื่องยนต์เสีย ซึ่งเสียงการหมุนของเครื่องยนต์จะยังกระฉับกระเฉงเหมือนปกติ เพียงแต่ว่าเครื่องยนต์ไม่ติดเท่านั้นเอง
ถ้าเป็นรถยนต์เกียร์ธรรมดา และมากันหลายคน ก็ใช้วิธีเข็นสตาร์ทด้วยการเข้าเกียร์ 2 เหยียบคลัตช์เอาไว้ บิดกุญแจเอาไว้ที่ ON จากนั้นก็ช่วยกันออกแรงเข็นจนได้ความเร็วพอประมาณ จากนั้นปล่อยคลัตช์ เพื่อให้เครื่องยนต์กระตุกติด และทำจนกว่าจะติด
แต่ถ้าเป็นรถยนต์ที่ใช้เกียร์อัตโนมัติ ไม่สามารถทำได้ด้วยวิธีนี้ ต้องใช้การพ่วงแบตเตอรี่จากรถยนต์คันอื่นมาช่วย โดยต่อสายพ่วงแบตฯ ขั้วลบของแบตเตอรี่ทั้ง 2 ลูกก่อน จากนั้นค่อยต่อขั้วบวก แล้วบิดกุญแจสตาร์ท บางครั้งช่วงแรกไดสตาร์ทอาจจะออกอาการอืดๆ เหมือนทำท่าไม่อยากติด ก็ให้ลองใหม่อีกครั้ง เมื่อติดแล้ว ก็จอดเดินเบาสักหน่อย แล้วค่อยขับรถไปร้านแบตเตอรี่เพื่อเปลี่ยน
อายุการใช้งานของแบตเตอรี่ส่วนใหญ่อยู่ที่ปีครึ่งถึง 2 ปีขึ้นอยู่กับการดูแลรักษา
ควรจำเอาไว้ด้วยว่าเปลี่ยนไปเมื่อไรไฟหน้าปัดอาจดูปกติ สลัวหรือกระพริบหากแบตเตอรี่หมดและรถสตาร์ทไม่ติด
คำถาม: ทำไมรถของฉันสตาร์ทไม่ติดแต่ไฟยังส่องสว่างและวิทยุยังทำงานปกติ?
รถของฉันสตาร์ทไม่ติด และไฟต่างๆและวิทยุยังปกติดี ฉันเลยไม่คิดว่ามันจะเป็นที่แบตเตอรี่ แต่พอพาไปที่ศูนย์ พวกเขาบอกว่าเป็นที่แบตเตอรี่ แต่ถ้าเป็นอย่างนั้นทำไมไฟกับวิทยุถึงได้ทำงานทั้งๆที่แบตหมดได้ล่ะ?
คำตอบ:
หากรถของคุณสตาร์ทไม่ติด แต่ไฟและวิทยุยังทำงานได้ คุณอาจจะต้องดูที่ปัญหาหลายๆอย่างรวมไปถึงแบตเตอรี่ที่หมดด้วย
เหตุผลว่าทำไมอุปกรณ์ไฟฟ้าอื่นๆยังสามารถทำงานได้อย่างปกติขณะที่เครื่องยนต์ไม่สามารถทำงานได้ก็เนื่องมาจากปริมาณของกระแสไฟที่แต่ละอุปกรณ์ต้องการนั่นเอง
ไฟหน้า วิทยุของคุณ และอุปกรณ์อื่นๆของรถใช้ไฟในปริมาณที่น้อยมาก ในขณะที่สตาร์ทรถใช้ประมาณ 300 ampขึ้นไปในแต่ละครั้ง ในความเป็นจริงแล้ว คุณสามารถเจอกับเหตุการณ์อย่างเช่นไฟทำงานปกติ แต่วิทยุไม่สามารถทำงานได้เมื่อแบตเตอรี่หมด และยังมีสถานการณ์อื่นๆที่แปลกๆอีก ดังนั้นปัญหาของคุณอาจจะไม่จำเป็นต้องมาจากแบตเตอรี่ก็ได้ แต่มันก็มักจะมาเกี่ยวข้องเสมอ
มีหลายวิธีที่จะจัดการกับปัญหาเช่นนี้ แต่สาเหตุส่วนใหญ่มักมาจากฟิวส์หรือสายฟิวส์ขาด สตาร์ทเตอร์ไม่ดี หรือสวิตซ์กุญแจไม่ดี หรือแบตเตอรี่หมดนั่นเอง วิธีที่ง่ายที่สุดคือการดูแบตเตอรี่ซึ่งเป็นจุดที่ควรเริ่มก่อนเป็นอันดับแรก
หากการทดสอบแบตเตอรี่ด้วยไฮโดรมิเตอร์ออกมาต่ำ หรือล้มเหลวในเทสโหลด นั่นหมายถึงมันต้องการชาร์จ หากชาร์จแล้วเครื่องสามารถสตาร์ทติดแสดงว่าปัญหาได้ถูกแก้แล้ว
เหตุผลที่คุณอาจจะพบสถานการณ์เช่นนี้ที่รถสตาร์ทไม่ติดแต่อย่างอื่นยังสามารถทำงานได้ คำตอบง่ายๆก็เพียงเพราะว่าการสตาร์ทนั้นใช้กระแสไฟในปริมาณมาก
ระบบไฟทำงานด้วยกระแสไฟต่ำ และต่ำกว่าที่มันสมควรจะใช้ด้วยในบาที ถึงแม้ว่ามันจะริบหรี่หรือกระพริบบ้างเมื่อคุณสตาร์ทเครื่องยนต์
วิทยุก็ใช้ปริมาณกระแสไฟน้อยมากเช่นกันหากเปรียบเทียบกับมอเตอร์สตาร์ท ซึ่งต้องการถึง 300 amps เพื่อทำงาน ที่จริงแล้วนี่เป็นเหตุผลว่าทำไมแบตเตอรี่ตะกั่วจึงออกแบบมาเช่นนี้ ถึงแม้ว่าเทคโนโลยีแบตเตอรี่ยานยนต์จะไม่ได้มีประสิทธิภาพสูงมากหรือทันสมัยมาก แต่เซลล์ในแบตเตอรี่นั้นถูกทำมาเพื่อให้กระแสไฟที่ต้องการในปริมาณสูงสุด
หากรถยนต์มีปริมาณกระแสมากพอที่จะเล่นวิทยุหรือเปิดไฟส่องสว่างได้นั่นไม่ได้หมายความว่ามันเพียงพอที่จะใช้สตาร์ทเครื่องยนต์ของคุณได้ ลองเปรียบเทียบโดยคิดถึงแบตเตอรี่ AA หรือ AAA ที่คุณใช้กับอุปกรณ์ต่างๆ ตัวอย่างเช่น ไฟฉายหรือรถที่ควบคุมด้วยรีโมตหรือรีโมตทีวี แบตเตอรี่แบบเดียวกันอาจทำให้ไฟฉายส่องได้เพียงสลัวๆ ไม่สามารถใช้กับรถที่ควบคุมโดยรีโมตได้ แต่ใช้กับรีโมตทีวีได้อย่างปกติก็เพราะว่าแต่ละอุปกรณ์นั้นมีความต้องการปริมาณพลังงานไฟฟ้าแตกต่างกันในการทำงาน
หากแบตเตอรี่เทสได้ปกติด้วยไฮโดรมิเตอร์ แสดงว่าปัญหาอยู่ที่จุดอื่น ตัวอย่างเช่น สะพานไฟมอเตอร์สตาร์ทอาจจะมีปัญหา หรืออาจะเป็นไปได้ที่ฟิวส์หรือสายฟิวส์ขาด ซึ่งทำให้กระแสไฟไม่สามารถผ่านมาถึงสะพานไฟหรือโซเลนอยด์สตาร์ทเตอร์ได้ เพื่อการตรวจสอบ จำเป็นที่จะต้องเช็คเกี่ยวกับฟิวส์ทั้งหมดก่อนว่ามีฟิวส์ขาดหรือไม่ และจากนั้นให้เช็คพลังงานไฟฟ้าที่สะพานไฟหรือมอเตอร์สตาร์ท
สิ่งอื่นๆที่อาจทำให้เครื่องยนต์ไม่สามารถทำงานได้ แต่อุปกรณ์อื่นๆทำงานได้อย่างปกติก็คือสวิตซ์กุญแจนั่นเอง
นี่ไม่ใช่ส่วนทางเทคนิคแต่อาจะเป็นปัญหาที่ตัวสวิตซ์ไฟฟ้าที่ทำงานโดยกลไก ในบางกรณี คุณอาจตกอยู่ในสถานการณ์ที่สวิตซ์กุญแจไม่สามารถสตาร์ทรถได้ในขณะที่อย่างอื่นในรถทำงานได้
มันขึ้นอยู่กับชนิดของรถ มันมีบางประเด็นที่มีสาเหตุเดียวกันนี้ ตัวอย่างเช่นเซนเซอร์ของตำแหน่งแป้นเหยียบคลัทช์ในรถระบบเกียร์จะป้องกกันไม่ให้เครื่องยนต์ทำงานระหว่างที่ระบบไฟฟ้าทำงานปกติ จุดประสงค์ของเซนเซอร์นี้คือเพื่อให้ยานพาหนะสามารถสตาร์ทได้เมื่อแป้นเหยียบคลัทช์ถูกกด แต่ถ้ามันผิดพลาดคุณก็จะไปไหนไม่ได้
เมื่อรถไม่สามารถสตาร์ทได้ แต่ว่าระบบอื่นยังทำงาน บางทีมันอาจจะเป็นปัญหาที่มอเตอร์สตาร์ท ซึ่งมอเตอร์สตาร์ทบ่อยครั้งมักจะมีเสียงดังออกมาหากมันทำงานผิดปกติ แต่มันก็ยังไม่อาจสรุปได้ บางทีมอเตอร์สตาร์ทอาจจะเงียบสนิท และไม่ได้ยินอะไรอีกเลยเมื่อเครื่องยนต์ไม่ทำงาน
หากสตาร์ทเตอร์ได้พลังงานไฟฟ้า เทคนิคหนึ่งคืออาจจะตบที่ตัวเครื่องด้วยค้อนหรืออุปกรณ์อื่น ในขณะที่คนอื่นอาจพยายามสตาร์ทเครื่อง แต่มันอาจเป็นอันตราย ขึ้นอยู่กับว่าสตาร์ทเตอร์วางอยู่ตรงไหนและมันสำคัญมากที่ควรหลีกเหลี่ยงไม่ให้เศษผ้า เส้นผมหรืออะไรก็ตามหลุดเข้าไปในเครื่องยนต์ ถ้าเครื่องยนต์ทำงาน มันหมายถึงสตาร์ทเตอร์ต้องการการซ่อมแซมใหม่หรือเปลี่ยนใหม่
เครื่องที่สตาร์ทไม่ติดบ่อยครั้งก็มักจะมีสาเหตุมาจากแบตเตอรี่ แม้ว่าไฟส่องสว่าง วิทยุและอุปกรณ์อื่นๆจะทำงานได้อย่างปกติ แต่ก็ไม่ใช่ไอเดียที่ดีที่จะสรุปว่าเป็นเพราะแบตเตอรี่และซื้ออันใหม่มาเปลี่ยนโดยที่ไม่ตรวจสอบให้ดีก่อน แบตเตอรี่หมดหรือแบตเตอรี่พังมักจะตามมาด้วยสถานการณ์อย่างเช่น รถสตาร์ทไม่ติด ในขณะที่ไฟยังส่องสว่างและวิทยุทำงานได้อย่างปกติในระดับหนึ่ง
รวมสาเหตุเบื้องต้นเมื่อ รถยนต์สตาร์ทไม่ติด ไฟเครื่องโชว์ รถสตาร์ทไม่ติด ไฟหน้าปัดไม่ขึ้น เกิดจากอะไรได้บ้างและควรทำอย่างไรเมื่อประสบปัญหาเหล่านี้ แม้ความจริงแล้วอาการรถสตาร์ทไม่ติดอาจเกิดได้จากหลายปัจจัย ซับซ้อนเกินกว่าจะคาดเดาหรือแก้ไขได้ทั้งหมด แต่อย่างไรก็ตามบางครั้งปัญหา “รถสตาร์ทไม่ติด” ที่พบกันเป็นประจำมักเป็นเพราะสิ่งเหล่านี้
1. แบตเตอรี่เสื่อมสภาพ/ ไม่มีไฟ
หลายต่อหลายครั้งปัญหารถสตาร์ทไม่ติด ไม่มีไฟ เกิดจากแบตเตอรี่เสื่อม ไม่ว่าจะด้วยอายุหรือพฤติกรรมการใช้งาน แต่ถ้ากำลังสตาร์ทอ่อนหรือนิ่งสนิท มีความเป็นไปได้ว่าแบตเตอรี่อาจเป็นส่วนหนึ่งของปัญหา เบื้องต้นให้ลองพ่วงแบตเตอรี่จากรถยนต์คันอื่นก่อน หากพ่วงแล้วรถยนต์ของเราสตาร์ทติดติดในทันที แน่นอนว่าแบตเตอรี่มีปัญหาแน่
2. ไดชาร์จเสื่อมหรือเสียหาย
ถ้ามั่นใจหรือตรวจเช็กแล้วว่าแบตเตอรี่รถยนต์อยู่ในสภาพสมบูรณ์ แต่อยู่ ๆ แบตเตอรี่ก็ไม่มีไฟหรือขับ ๆ ไปแล้วเครื่องดับกลางอากาศ ไดชาร์จอาจเป็นตัวปัญหา สำหรับวิธีเช็กไดชาร์จเสื่อมหรือไม่สามารถให้ร้านแบตเตอรี่หรืออู่ทั่วไปตรวจสอบได้ไม่ยาก แต่กรณีไม่มีอุปกรณ์และอยากเป็นช่างตรวจเองก็ไม่ได้ยากนัก ให้ลองสตาร์ทรถทิ้งไว้สักพัก (ถ้ายังพอสตาร์ทได้) จากนั้นให้ถอดขั้วแบตเตอรี่ออกหนึ่งข้าง หากรถมีอาการไฟตก รถกระตุกหรือรถดับ แสดงว่าไดชาร์จรถยนต์เสื่อมสภาพแล้ว
3. มอเตอร์สตาร์ทเสีย
ถ้ารถสตาร์ทไม่ติด แผงหน้าปัดมีไฟติดตามปกติ แต่เมื่อสตาร์ทแล้วยังมีเสียงแก๊ก ๆ หรือไม่ติดเลย ให้สงสัยได้ว่ามอเตอร์สตาร์ทน่าจะมีปัญหา ถ้าเกิดจากความสกปรกการเคาะมอเตอร์สตาร์ทอาจแก้ไขเฉพาะหน้าได้ แต่ถ้ามอเตอร์สตาร์ทเสียหายติดต่อรถสไลด์หรืออู่ที่ไว้ใจได้เลย
4. ระบบไฟฟ้า
เพราะรถยนต์ต้องอาศัยระบบไฟในการสตาร์ท หากระบบไฟจุดหนึ่งจุดใดมีปัญหา เช่น สายไฟขาดเพราะโดนหนูกัด แน่นอนว่ารถย่อมสตาร์ทติดไม่ได้เป็นอีกหนึ่งเรื่องที่ไม่ควรมองข้าม หากตรวจสอบแล้วว่าแบตเตอรี่ ไดชาร์จ มอเตอร์สตาร์ท ไม่ได้เป็นปัญหา
5. ปั๊มน้ำมันเชื้อเพลิง (ปั๊ม AC หรือ ปั๊มติ๊ก)
นอกจากระบบไฟแล้วในการสตาร์ทรถยนต์ต้องอาศัยน้ำมัน และปัญหาที่พบบ่อยเมื่อรถสตาร์ทไม่ติดคือปั๊มน้ำมันเชื้อเพลิงเสียหาย (ปั๊ม AC หรือ ปั๊มติ๊ก) เพราะปั๊มน้ำมันเชื้อเพลิงจะทำหน้าที่ดูดน้ำมันในถังส่งไปยังห้องเผ่าไหม้ หากอุปกรณ์ชิ้นนี้ไม่ทำงาน น้ำมันก็ไม่ถูกจ่ายไปยังหัวฉีดเพื่อสตาร์ทรถ ส่วนสาเหตุหลักที่ทำให้ปั๊มน้ำมันเชื้อเพลิงเสียบ่อยก็คือการปล่อยน้ำมันเชื้อเพลิงเหลือก้นถังบ่อย ๆ ปั๊มต้องทำงานหนักจนเสียหายในที่สุด
6. น้ำมันหมด
ไม่น่าเชื่อก็ต้องเชื่อว่าปัญหานี้เกิดขึ้นได้จริงกับผู้ใช้ที่เป็นเพียงผู้ใช้จริง ๆ ไม่ได้สนใจว่าระดับน้ำมันเชื้อเพลิงลดลงมากจนใกล้หมดและไม่เพียงพอในการสตาร์ทรถยนต์ หรือขับ ๆ ไปรถสะดุดดับกลางอากาศแล้ว รถสตาร์ทไม่ติด ไฟโชว์ปกติ แต่สตาร์ทรถไม่ได้ ให้ลองเหลือบมองเกจ์น้ำมันนั่นอาจเป็นตัวการที่คาดไม่ถึง
เมื่อรถจอดทิ้งเอาไว้นานแล้วจะพอจะกลับมาใช้งานรถกลับสตาร์ทไม่ติด สาเหตุหลักมักเกิดจากอุปกรณ์สำคัญอยู่ 2 อย่าง คือ
สำหรับรถที่สตาร์ทไม่ติดให้ดูว่ามาจากสาเหตุจากอุปกรณ์ชิ้นไหน โดยการบิดกุญแจสตาร์ทรถและดูว่ารถมีอาการอย่างไร แบ่งออกเป็น 2 กรณี คือ
เมื่อบิดกุญแจเปิดเครื่องแล้วยังมีไฟหน้าปัดแสดงอยู่ แต่เมื่อบิดสตาร์ทรถแล้วเครื่องเงียบไม่มีเสียงสตาร์ท ในกรณีนี้เกิดขึ้นได้บ่อยโดยให้ตรวจเช็คการทำงานดังนี้
สำหรับรถเกียร์ออโต้ ให้ดูว่าคุณกำลังเข้าเกียร์ทิ้งไว้นอกจากเกียร์ P หรือ N หรือไม่ เพราะถ้าหากเข้าเกียร์เดินหน้าหรือถอยหลังเอาไว้จะทำให้รถสตาร์ทไม่ติด ซึ่งเป็นกลไกป้องกันไม่ให้รถเกิดอุบัติเหตุในกรณีที่เข้าเกียร์ทิ้งไว้
เมื่อตรวจสอบดูแล้วว่าเข้าเกียร์ไว้ที่ P หรือ N แต่รถก็ยังสตาร์ทไม่ติด อาจมีสาเหตุมาจากแบตเตอรี่ที่ส่งกำลังไฟไม่พอ หรือมีอุปกรณ์ต่อพ่วงกับแบตเตอรี่หลุดออก เพราะการจอดรถทิ้งเอาไว้นานอาจจะมีสัตว์ตัวเล็กๆ เช่น แมวหรือหนู เข้าไปทำให้สายต่อพ่วงหลุดออก
อีกกรณีหนึ่งเมื่อบิดกุญแจสตาร์ทแล้วยังมีเสียงสตาร์ทแต่เครื่องยนต์ไม่ติด ในกรณีนี้จะมาจากแบตเตอรี่เสื่อมหรือมอเตอร์สตาร์ทผิดปกติ โดยให้ตรวจเช็คการทำงานดังนี้
สำหรับรถที่ตรวจสอบดูแล้วมั่นใจว่าแบตเตอรี่หมดหรือเสื่อม สามารถแก้ไขได้ด้วยการ “พ่วงแบต” กับรถคันอื่น เมื่อพ่วงแบตแล้วพบว่ารถยนต์กลับมาสตาร์ทติดสามารถกลับมาใช้งานได้ก็ถือว่าไม่มีปัญหาอะไรแล้ว
สำหรับแบตเตอรี่นั่นถึงแม้จะพ่วงแล้วใช้งานรถได้ตามปกติ แต่แบตเตอรี่มีอายุการใช้งาน 2 ปี ถ้าพบว่าเกินเวลาอายุการใช้งานแล้ว แนะนำให้เปลี่ยนแบตลูกใหม่ เพราะการใช้งานแบตเตอรี่เสื่อมเป็นเวลานานๆ จะทำให้ปัญหาการสตาร์ทไม่ติดเกิดขึ้นบ่อย
แต่ถ้าพ่วงแบตแล้วรถยังสตาร์ทไม่ติด ก็อาจจะเกิดจากอุปกรณ์ที่เกี่ยวข้องหรือระบบไฟฟ้ามีปัญหา เมื่อไม่สามารถขับรถไปยังศูนย์บริการได้ ก็สามารถโทรเรียกช่างซ่อมหรือเจ้าหน้าที่ศูนย์บริการมาตรวจเช็คที่บ้านได้
สำหรับรถยนต์ที่จำเป็นต้องจอดทิ้งไว้นาน การเตรียมการก่อนจอดทิ้งไว้สำคัญมาก เพราะถ้าไม่ดูแลอะไรเลยก่อนจอดทิ้งไว้ เมื่อกลับมาใช้งานจะมีปัญหาตามมาแน่นอน โดยสามารถทำได้ดังนี้
แบตเตอรี่ : อุปกรณ์สำคัญที่ต้องดูแลเมื่อต้องจอดรถทิ้งไว้ เพราะเมื่อกลับมาใช้งานอีกครั้งปัญหาส่วนใหญ่ที่พบคือแบตเตอรี่หมด สำหรับคนที่ไม่ได้อยู่ใกล้รถแนะนำว่าควรถอดสายพ่วงแบตเตอรี่ออกจะดีที่สุด ส่วนคนที่อยู่ที่บ้านแต่ไม่ได้ใช้รถก็แนะนำว่าให้สตาร์ทเครื่องยนต์ทิ้งไว้ 10 นาที สัปดาห์ละ 2 ครั้งก็ช่วยยืดอายุการใช้งานของแบตเตอรี่ได้
ความสะอาดของรถ : เมื่อรู้ว่าต้องจอดรถทิ้งไว้นานควรเอารถไปล้างให้สะอาด เพราะคราบสกปรกบางอย่างถ้าติดอยู่บนตัวรถนานจะทำให้ล้างไม่ออก แล้วนำไปจอดในที่ร่มแล้วคลุมผ้าเอาไว้เพื่อป้องกันฝุ่น
ลมยาง : สำหรับรถที่จะจอดทิ้งเอาไว้ควรเติมลมยางให้มากกว่าปกติประมาณ 5-10 ปอนด์ / ตารางนิ้ว เพราะรถที่จอดทิ้งเอาไว้นานยางจะมีอาการไม่คืนตัว เพราะน้ำหนักรถจะทิ้งลงบนยางด้านที่ติดกับพื้นอยู่ตลอดเวลา อาจทำให้ยางรถเสียรูป เมื่อนำกลับมาขับรถจะมีอาการสั่น